analyticstracking
ผลสำรวจเรื่อง คนไทยคิดอย่างไรกับโอกาสในการเป็นเจ้าของธุรกิจ ประจำไตรมาสแรก/2566
           จากการสำรวจประจำไตรมาสแรก/2566 ประชาชนเห็นโอกาสหรือความพร้อมสำหรับ
      การริเริ่มธุรกิจในอนาคตเพิ่มขึ้น จากปีที่แล้ว โดยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 55.8 เป็นร้อยละ 62.4
            ส่วนใหญ่ร้อยละ 66.5 เห็นว่าหลังจากสถานการณ์โควิดหมดไป การท่องเที่ยวกลับมา
      คึกคักอีกครั้งจะทำให้คนอยากเริ่มต้นธุรกิจใหม่ค่อนข้างมากถึงมากที่สุด
            อย่างไรก็ตามเหตุผลหลักที่ไม่กล้าเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองคือ ปัญหาเงินเฟ้อในปัจจุบัน
      ค่าครองชีพสูง
 
 
 
ดีมาก (5)
ดี (4)
ปานกลาง (3)
พอใช้ (2)
แย่ (1)
 
 
                  กรุงเทพโพลล์ร่วมกับคณะการสร้างเจ้าของธุรกิจและการบริหารกิจการ
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ สำรวจความเห็นประชาชนเรื่อง “คนไทยคิดอย่างไรกับโอกาส
ในการเป็นเจ้าของธุรกิจ ประจำไตรมาสแรก/2566 ”
โดยเก็บข้อมูลจากประชาชน
ทั่วประเทศ จำนวน 1,207 คน พบว่า
 
                  จากการสำรวจความเห็นเกี่ยวกับจิตวิญญาณของการเป็น
ผู้ประกอบการ (เจ้าของธุรกิจ) ประจำไตรมาแรก/2566 โดยได้ทำการ
เปรียบเทียบกับการสำรวจครั้งที่ผ่านมา (ช่วงเดือน ม.ค. 2566) ในประเด็น
ต่างๆ พบว่า ประชาชนเห็นโอกาสหรือความพร้อมสำหรับการริเริ่มธุรกิจ
ในอนาคตมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 62.4 (โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.6)
รองลงมาคือ
มีความตั้งใจที่จะประกอบธุรกิจ ในอนาคตข้างหน้า คิดเป็นร้อยละ 56.3 (เพิ่มขึ้นร้อยละ
3.6) และเห็นว่าตนเองมีความรู้ความสามารถรวมถึงทักษะและประสบการณ์ที่จำเป็น
ในการที่จะเริ่มทำธุรกิจใหม่ คิดเป็นร้อยละ 51.2 (เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6) ขณะที่เห็นว่า
ไม่อยากลงทุนทำธุรกิจเพราะกลัวความล้มเหลว คิดเป็นร้อยละ 65.8 (เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 2.4)
 
                  ทั้งนี้สาเหตุที่ไม่กล้าเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองมากที่สุดคือ ปัญหาเงินเฟ้อในปัจจุบัน ค่าครองชีพสูง
คิดเป็นร้อยละ 47.3
รองลงมาคือ ไม่มีเงินทุนมากพอ คิดเป็นร้อยละ 44.9 น้ำมันเชื้อเพลิงต่างๆ ราคาสูงขึ้น คิดเป็นร้อยละ
39.3 กลัวล้มเหลว กลัวขาดทุน คิดเป็นร้อยละ 36.2 และคิดว่างานที่ทำอยู่มั่นคงแล้ว เลี้ยงตัวเองได้แล้ว คิดเป็นร้อยละ 28.8
 
                  สุดท้ายเมื่อถามว่าปีนี้ประชาชนอยากเริ่มต้นธุรกิจใหม่มากน้อยเพียงใด หลังจากสถานการณ์โควิด
หมดไป การท่องเที่ยวกลับมาคึกคักอีกครั้ง ส่วนใหญ่ร้อยละ 66.5 ระบุว่าอยากเริ่มต้นธุรกิจใหม่ค่อนข้างมาก
ถึงมากที่สุด
ขณะที่ร้อยละ 33.5 ระบุว่า อยากเริ่มต้นธุรกิจใหม่ค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด
 
 
                  โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
 
             1. ประเด็นคำถามเกี่ยวกับจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการ (เจ้าของธุรกิจ)

คำถาม
สำรวจ
(มี.ค.66)
สำรวจ
(ม.ค.66)
เพิ่มขึ้น/
ลดลง
ร้อยละ
ร้อยละ
ร้อยละ
ท่านมีความตั้งใจที่จะประกอบธุรกิจ ในอนาคตข้างหน้า
56.3
52.7
+3.6
ท่านเห็นโอกาสหรือความพร้อมสำหรับการริเริ่มธุรกิจในอนาคต
62.4
55.8
+6.6
ตัวท่านมีความรู้ความสามารถรวมถึงทักษะและประสบการณ์ที่จำเป็นใน
การที่จะเริ่มทำธุรกิจใหม่
51.2
50.6
+0.6
รู้จักผู้ประกอบการหรือมีเครือข่ายที่สามารถสนับสนุนในการริเริ่มธุรกิจ
48.1
45.6
+2.5
คิดว่าการเริ่มต้นธุรกิจใหม่เป็นสิ่งที่ง่ายในสถานการณ์ขณะนี้
23.6
17.5
+6.1
ไม่อยากลงทุนทำธุรกิจเพราะกลัวความล้มเหลว
65.8
63.4
+2.4
 
 
             2. สาเหตุที่ท่านไม่กล้าเริ่มต้นธุรกิจของตัวท่านเอง (สามารถเลือกตอบได้มากกว่า1 ข้อ)

 
ร้อยละ
ปัญหาเงินเฟ้อในปัจจุบัน ค่าครองชีพสูง
47.3
ไม่มีเงินทุนมากพอ
44.9
น้ำมันเชื้อเพลิงต่างๆ ราคาสูงขึ้น
39.3
กลัวล้มเหลว กลัวขาดทุน
36.2
คิดว่างานที่ทำอยู่มั่นคงแล้ว เลี้ยงตัวเองได้แล้ว
28.8
ขาดความรู้ ความเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจ
24.9
กลัวทำแล้วเกิดสถานการณ์ไม่คาดฝัน เช่น โรคระบาด ภัยธรรมชาติ
22.4
หากไม่สำเร็จกลัวคนในครอบครัวจะเดือดร้อน แบกภาระหนี้ร่วมกัน
20.8
คิดว่าสายเกินไปที่จะเริ่มต้นใหม่
20.5
ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำธุรกิจอะไรดี
17.3
กลัวการเริ่มต้นว่าจะทำไม่ได้
7.6
อื่นๆ อาทิ มีปัญหาสุขภาพ ขาดคนมีประสิทธิภาพช่วยทำงาน รอดูทิศทางทางการเมืองก่อน ฯลฯ
5.0
 
 
             3. ท่านคิดว่าปีนี้ประชาชนอยากเริ่มต้นธุรกิจใหม่มากน้อยเพียงใด หลังจากสถานการณ์โควิดหมดไป
                  การท่องเที่ยวกลับมาคึกคักอีกครั้ง


 
ร้อยละ
ค่อนข้างมากถึงมากที่สุด
(โดยแบ่งเป็น ค่อนข้างมาก ร้อยละ 51.0 และมากที่สุด ร้อยละ 15.5)
66.5
ค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด
(โดยแบ่งเป็น ค่อนข้างน้อย ร้อยละ 29.4 และน้อยที่สุด ร้อยละ 4.1)
33.5
 
 
รายละเอียดการสำรวจ
วัตถุประสงค์การสำรวจ:
                  เพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับจิตวิญญาณความเป็นผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจ
ของคนไทยประจำไตรมาสแรก/2566 ในประเด็นต่างๆ รวมถึงเหตุผลที่ทำให้ไม่กล้าเริ่มธุรกิจเป็นของตนเอง ทั้งนี้
เพื่อสะท้อนมุมมองความคิดเห็นของประชาชนให้สังคมและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ
 
ประชากรที่สนใจศึกษา:
                  การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างจากประชาชนทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยการสุ่มสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์
จากฐานข้อมูลของกรุงเทพโพลล์ ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) แล้วใช้วิธีการถ่วงน้ำหนัก
ด้วยข้อมูลประชากรศาสตร์จากฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
 
ความคลาดเคลื่อน (Margin of Error):
                  ในการประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน  3 ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
 
วิธีเก็บรวบรวมข้อมูล:
                  ใช้การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ (Enumeration by telephone) โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็น
แบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอนประกอบด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) จากนั้นจึงนำแบบสอบถาม
ทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
 
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล:  : 20 – 24 มีนาคม 2566
 
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ: 1 เมษายน 2566
 
สรุปข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่าง:
ตารางข้อมูลประชากรศาสตร์
 
จำนวน
ร้อยละ
เพศ:
   
             ชาย
666
55.2
             หญิง
541
44.8
รวม
1,207
100.0
อายุ:
 
 
             18 – 30 ปี
111
9.2
             31 – 40 ปี
135
11.2
             41 – 50 ปี
307
25.5
             51 – 60 ปี
330
27.3
             61 ปีขึ้นไป
324
26.8
รวม
1,207
100.0
การศึกษา:
 
 
             ต่ำกว่าปริญญาตรี
734
60.8
             ปริญญาตรี
354
29.3
             สูงกว่าปริญญาตรี
119
9.9
รวม
1,207
100.0
อาชีพ:
   
             ลูกจ้างรัฐบาล
129
10.7
             ลูกจ้างเอกชน
215
17.8
             ค้าขาย/ ทำงานส่วนตัว/ เกษตรกร
501
41.5
             เจ้าของกิจการ/ นายจ้าง
92
7.6
             ทำงานให้ครอบครัว
5
0.4
             พ่อบ้าน / แม่บ้าน / เกษียณอายุ
219
18.1
             นักเรียน/ นักศึกษา
26
2.2
             ว่างงาน
20
1.7
รวม
1,207
100.0
 
ติดตามกรุงเทพโพลล์ผ่าน twitter ได้ที่  twitter bangkokpoll
Download PDF file:  
 
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์)    โทร. 02-407-3888 ต่อ 2897,2898